ธุรกิจความงาม ยืนได้หรือไม่วัดด้วยฝีมือ “มาร์เก็ตติ้ง”

ธุรกิจความงาม ยืนได้หรือไม่วัดด้วยฝีมือ “มาร์เก็ตติ้ง”

       พูดถึงเรื่อง “ธุรกิจความงาม” ไปเมื่อฉบับที่แล้ว ก็หยุดไม่ได้ที่จะต้องมีภาคต่อขึ้มา เพราะจะว่าไปแล้ว ธุรกิจที่ว่านี้ เรียกได้ว่า มีมูลค่าทางการตลาด “มหาศาล” เลยก็ว่าได้ แค่ขายคอร์สทำสวย ทำหล่อ หรือขายเครื่องสำอาง เงินทองก็มากองพะเนินอยู่ในร้านกันท่วมแล้ว …ยิ่งเป็น “คลินิกความงาม” ในห้างด้วยแล้ว เหมือนกับของแจกฟรี ลูกค้าเข้าคิวรอรับบริการแบบไม่ขาดสายกันเลย

ทว่า ก็ใช่ว่า คลินิกความงามในห้าง จะกอบโกยเงินทอง ได้ทุกร้าน…จากการสังเกตของผู้เขียน ในฐานะผู้บริหารห้างฯ พบว่า คลินิกแต่ละร้าน จำเป็นต้องใช้ “กลเม็ดเด็ดพราย” หรือลูกเล่นทางการตลาดที่มีอยู่ ออกมาใช้ เพื่อกระตุ้นเม็ดเงินจากลูกค้า ให้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ใช่แค่จะมีฝีมือคุณหมอ ที่มาตรวจ มาจ่ายยา หรือ มาดูแลลูกค้าอย่างดีเท่านั้น จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ สร้างชื่อไปพร้อมๆ กันด้วยจะมัวมารอลูกค้าที่ทำสวย บอกต่อแบบปากต่อปากอย่างเดียว คงไม่ได้ ยิ่งในยุค ไทยแลนด์ 4.0 คงต้องใช้กลเม็ดมากกว่านี้

กลเม็ดที่ว่านี้ ก็คือ การสร้างกิจกรรมทางการตลาด ให้กับธุรกิจความงาม โดยเฉพาะบรรดาคลินิกที่อยู่ใศูนย์การค้า เพราะที่เท่าที่เห็น มีคลินิกความงาม ในห้างที่ผู้เขียนบริหารอยู่ บางคลินิกที่เห็นว่า แม้จะมีลูกค้าเข้าตลอด รักษาก็ดี แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ

ด้วยความสงสัย ก็เลยทำตัวเป็นนักสืบการตลาด หาเบาะแสและสาเหตุ ก่อนจะพบว่าทางคลินิกแห่งนั้นไม่เคยทำกิจกรรมทางการตลาดเลย แม้แต่ครั้งเดียว อาศัยแค่ให้ลูกค้าบอกต่อ แล้วเดินเข้ามาหาเองเสียงั้น …ทำให้มีแต่ลูกค้าเก่าเข้าหา ไม่หาลูกค้าใหม่มาเพิ่ม ถึงจะรักษาดี แต่ก็อยู่ยากเหมือนกัน สุดท้ายก็ไปไม่รอด ต้องปิดประตูร้านล็อคกุญแจ กลับบ้านไปนอนก่ายหน้าผากกัน

ขณะที่บางคลินิก ที่ดูจะเป็นแบรนด์บ้านๆ กลับกลายเป็นคลินิกที่มีความโดดเด่น และดูจะประสบความสำเร็จมากกว่า ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่า คลินิกแบรนด์บ้านๆ เขาพยายามที่จะสร้างกิจกรรมทางการตลาดให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง ทั้ง “ออกบูธ” และ วาง “ดิสเพลย์” ในทำเลที่มีคนมองเห็นตลอดๆ ออกมาทุกเดือน เดือนละไม่ต่ำกว่า 7-10 ครั้ง พร้อมๆ กับส่งทีม “จิก” เอ้ย! “ทีมขาย” ลงมาสมทบ คอยทำหน้าที่เชื้อเชิญลูกค้ามารับฟังสิทธิประโยชน์ต่างๆ หรือแม้แต่ชี้ชวนลูกค้าให้เข้าใจเรื่องราวความสวย แล้วขายคอร์ส ชนิดที่เรียกกันว่า ลูกค้าซื้อไปแบบไม่รู้ตัว ส่งผลให้ยอดขายคอร์สทะลุเป้าทุกเดือน

ไม่ใช่แค่การออกบูธ ให้ทีมขายออกมาเจอลูกค้า ที่ถือเป็นกิจกรรมย่อยเพียงอย่างเดียว …กิจกรรมใหญ่ๆ อย่างการฉลองครบรอบ Anniversary ก็เรียกได้ว่าจำเป็นอย่างมาก และจะจัดทั้งทีก็ต้องจัดให้ใหญ่กันไปเลย หากได้ดาราศิลปินแถวหน้าตัวดัง ตัวปัง มาโชว์ตัวในแบบอลังการดาวล้านดวง ยิ่งมี หนุ่มๆ หล่อล่ำ มาเสริมในงานเป็นน้ำจิ้มด้วย บอกได้คำเดียวเลยว่า ลูกค้าสาวน้อย สาวใหญ่ ต้องแวะเวียนเข้ามาหา ยอมจ่ายเงินซื้อคอร์สความงาม กันแบบทุ่มไม่อั้นทีเดียว…ทำเอาเจ้าของคลินิก หน้าบานยิ้มแก้มปริ รับทรัพย์กันไป

การจัดงานอีเว้นท์ใหญ่ๆ แบบที่ว่านี้ อาจทำได้ปีละครั้ง หรือ สองครั้ง คงไม่สามารถทำได้ทุกวันแน่นอน ดังนั้น สิ่งที่จะต้องทำต่อเนื่อง เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ ให้กับลูกค้า ก็คือ การทำกิจกรรมต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การแจกโบว์ชัวร์ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ เรียกลูกค้าในแบบไม่หยุดไม่หย่อน ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญ ที่ไม่ใช่แค่จะสร้างแบรนด์ ให้ติดปากลูกค้าเท่านั้น แต่ยังทำให้เม็ดเงิน ถูกเทเข้ามาในธุรกิจอย่างต่อเนื่องไม่เว้นวันเลยอีกด้วย

วันนี้ ธุรกิจความงาม จะยั่งยืน และยืนหยัดในยุคไทยแลนด์ 4.0 หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับ เทคนิคทางการตลาด ของแต่ละแบรนด์ ที่งัดขึ้นมาแข่งกัน …คลินิกความงามไหน จะดัง ก็ต้องมีกลเม็ดการตลาด ที่เปรี้ยง และปัง… หากเข้าใจกลเม็ดที่ว่านี้แล้ว รับรองได้เลยว่า เจ้าของธุรกิจจะมีแต่ รวย รวย รวย ตราบใดที่ผู้หญิงทุก ยังไม่ยอมหยุดสวย…